69 replies to this topic

[ทีมข่าวHFLIGHT]

Advertisements

ถัดจากพระราชวังข้าง ๆ กันมีพิพิธภันฑ์อีกแล้วครับชื่อว่า BELvue Museum http://www.belvue.be...8&LangType=1033 ในเว็บไซต์เขาโปรยเรื่องของพิพิธภัณฑ์นี้ไว้ว่าอย่างนี้ครับ It all goes back to 1830 … where the story begins, the story of how a small country can be so surprising, a story about a piece of land called Belgium. For nearly 200 years, an ever-changing country, a land of good and bad fortune, uprising and war, democracy and kings. กลาง Museum มีลานกลางสวนบรรยากาศร่มรื่นสบาย ๆ ด้วย

Attached Images

• 
• 

[ทีมข่าวHFLIGHT]

ถัดมาอีกนิด บนหัวมุมถนน Rue de la Regence ตัดกับ Rue des Sablons เป็นที่ตั้งของโบสถ์ Notre-Dame au Sablon (สถานที่แถวนี้อยู่ในระยะเดินได้ถึงกันหมดครับ ไม่ไกลกันมาก ถ้าใครมาเที่ยวบรัสเซลส์แล้วคิดจะทำ City Tour on foot เดินไปพักไปก็ไม่เหนื่อยเทาไรนัก)

โบสถ์ Notre Dame au Sablon เป็นสถาปัตยกรรมแบบศิลปะโกธิค โบสถ์แห่งนี้มีประวัติย้อนไปตั้งแต่ศตวรรษที่ 15 นู่นแหนะครับ

Attached Images

• 
• 

[ทีมข่าวHFLIGHT]

ยอดแหลมตามหลังคาโบสถ์โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ และความสวยงามของโบสถ์แห่งนี้อีกอย่างหนึ่งคือกระจกสี อย่างที่เราถ่ายมาในภาพล่างสุดยามค่ำคืน

Attached Images

• 
• 
• 

[ทีมข่าวHFLIGHT]

ตรงข้ามกับโบสถ์ Notre-Dame au Sablon เป็นสวนเล็ก ๆ กลางเมืองชื่อว่า Place Du Petit Sablon กลางสวนมีอนุสาวรีย์น้ำพุเล็ก ๆ ชื่อว่า La Fontaine Egmont et de Hornes ซึ่งเป็นที่ระลึกแก่ The Counts of Egmont and Hornes

Attached Images

• 
• 

[ทีมข่าวHFLIGHT]

สุดถนน Rue de la Regence เป็นที่ตั้งของอาคารยอดโดมใหญ่โตอลังการ อาคารนี้คือ Palais de Jusitce แปลเป็นภาษาอังกฤษว่าวังแห่งความยุติธรรม หรือก็คือ ศาลยุติธรรม นั่นเองครับ

Law Courts of Brussels เป็นอีกหนึ่ง Landmark ของบรัสเซลส์ สร้างขึ้นระหว่างปี 1866 - 1883 เป็นอาคารรูปแบบ eclectic style อาคารแห่งนี้นับได้ว่าเป็นอาคารที่ใหญ่ที่สุดที่ก่อสร้างในศตวรรษที่ 19 ของเบลเยียม (ก็ตัวอาคารกว้าง 160 คูณ 150 เมตร)

Attached Images

• 

[ทีมข่าวHFLIGHT]

ก่อนจะไปชมสถานที่น่าสนใจถัดไป เรามาเปลี่ยนบรรยากาศด้วยบรรยากาศของนครบรัสเซลส์กันบ้าง

สิ่งหนึ่งที่ผู้ได้มาเยือนบรัสเซลส์อาจจะแปลกใจและสงสัยอยู่ไม่น้อยว่า คนเมืองนี้นั้นมือบอนหรือว่าชื่นชอบ Comic มากนึกหรือไงถึงได้เห็นที่ว่างตามฝาผนังเป็นไม่ได้ ถึงต้องได้เอาสีไประบายเป็นรูป Comic ซึ่งแทบจะพบเห็นได้ทุกมุมเมือง

จริง ๆ แล้วเบลเยียมมือชื่อเสียงในเรื่อง Comic มาก Comic เรื่องดังที่หลายคนอาจรู้จักคือ Tintin นั่นเองตัว Comic Charactor เด็กผู้ชายยอดนักสืบคนนี้เกิดที่บรัสเซลส์นี่เอง โดย Georges Rémi ตั้งแต่ปี 1929 นู่น (ภาพแรกสุด ตินติน กำลังลงบันได ที่กำแพงอาคารหลังหนึ่งบน Rue de l'Etuve)



ตอนนี้ตินตินอาจจะยังไม่โด่งดังในหมู่คนไทย (แต่เขาดังมานานแล้วในโลกฝรั่งตะวันตก) แต่ว่าในเดือนตุลาคมนี้ภาพยนตร์เรื่อง The Adventures of Tintin โดยสตีเฟ่นสปีลเบิร์ก กำลังจะเปิดตัวและคาดว่าน่าจะได้เข้าฉายในเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคมปีนี้

แต่นอกจากตินตินแล้วกำแพงบ้านเรือนของบรัสเซลส์ยังมีเนื้อที่ให้ Comic รายอื่นได้ออกมาเฉิดฉายอยู่เช่นกัน ดังที่เห็นในภาพที่ 2



ส่วนภาพที่ 3 4 และ 5 นั้น ผนังบ้านเรือนในบรัสเซลส์ยังอาจถูกจิตรกรมือดี(หรือมือบอนก็ไม่รู้) วาดลวดลายลวงตาเหมือนกับว่าจะเดินเข้าไปในสวนจริง ๆ (แต่นั่นกำแพงนะ) หรือไม่ก็นำเรือไปไว้บนบ้าน หรือวาดลวดลายลงบนประตูม้วนแบบนี้







ส่วนภาพที่ 6 นั้น มือบอนของจริง

[ทีมข่าวHFLIGHT]

หลังจากไปพบกับ Tintin และบรรดาผองเพื่อนที่ไปอยู่บนผนังอาคารบ้านเรือนแล้ว

ต่อไปเราจะพาไปพบ ผู้ชายที่มีสเน่ห์มากที่สุดในบรัสเซลส์ ที่คนทุกคนที่มาเยือนบรัสเซลส์ต้องมาห้อมล้อมเขา หากสังเกตุให้ดีในภาพที่ 2 ของโพสท์ที่แล้วจะเห็นผู้คนยืนมุงกันมากมายอยู่ตรงหัวมุมถนน

นั่นแหละสเน่ห์ของเขาผู้นี้ เขาอยู่ตรงหัวมุม Rue de l'Etuve ตัดกับ Eikstraat ไปพบกับเขากัน (Rue แปลว่าถนนในภาษาฝรั่งเศส ส่วน straat ก็คือถนนในภาษาดัตช์หรือเฟลมมิช อย่างที่กล่าวไปแล้วว่า ในแคว้น Brussels Capital Region นั้น ภาษาทางการใช้ทั้งสองภาษาคือฝรั่งเศสและเฟลมมิช)

Attached Images

• 

[Pete@Lawton Asia]

ปาดหน่อยไม่ว่ากันนะครับ

[ทีมข่าวHFLIGHT]

ชายผู้นั้นก็คือ Manneken Pis

คำว่า Manneken Pis เป็นภาษาเฟลมมิช แปลเป็นอังกฤษว่า little man pee หรือเด็กชายยืนฉี่นั่นเอง

นี่เป็นสถานที่ที่นักท่องเที่ยวนิยมมาชมมากที่สุดในบรัสเซลส์ และตามบรรดาร้านขายของที่ระลึก ก็จะเห็นเด็กชายผู้นี้ ไปเป็น Magnet โปสการ์ด พวงกุญแจ shotglass และแม้กระทั่งในร้านชอคโกแลตก็ยังมีชอคโกแลตเป็นรูปชายผู้นี่

แล้วเด็กยืนฉี่ที่เป็นน้ำพุคนนี้มีความพิเศษอะไร เรื่องราวของเด็กน้อยคนนี้มีหลากหลายมาก บ้างก็ว่า เมื่อกองกำลังต่างชาติกำลังรุกรานบรัสเซลส์ในศตวรรษที่ 14 และกำลังมีแผนการที่ทำลายกำแพงเมืองบรัสเซลส์ด้วยระเบิด เด็กชายชื่อ Juliaanske บังเอิญมาเห็นเข้าและปัสสาวะรดใส่สายชนวนที่กำลังจุดอยู่และช่วยเมืองไว้ได้

หรือบ้างก็ว่าเป็นเด็กคนหนึ่งในปี 1142 ที่ถูกกองกำลังนำไปไว้บนต้นไม้และปัสสาวะรดใส่กองทัพของฝ่ายตรงข้าม แล้วเด็กคนนี้ก็ปัสสาวะรดใส่ฝ่ายศัตรู และในที่สุดด้วยความบังเอิญหรือสาเหตุอะไรก็ตามศัตรูก็พ่ายแพ้ในที่สุด

แต่ไม่ว่าจะมีที่มาอย่างไรก็ตาม อนุสาวรีย์เด็กคนนี้ก็เป็นสถานที่ที่นักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลกต้องมาเยือนเมื่อได้มาบรัสเซลส์

อนุสาวรีย์น้ำพุนี้ทำจากทองแดงสูง 61 ซม. สร้างในปี 1961 และถูกขโมยไปหลังจากนั้นไม่นาน รูปปั้นที่เห็นอยู่ที่หัวมุมถนนนี้สร้างในปี 1965 ส่วนตัวจริงนั้นปัจจุบันถูกเก็บไว้ที่ Maison du Roi/Broodhuis ที่กองปลาส

ตัวอนุสาวรีย์จริง ๆ แล้วนั้นเป็นเด็กชายเปลือย แต่จะมีผู้คนมากมายนำเสื้อผ้ามาให้เด็กชายคนนี้ใส่ในแต่ละวาระโอกาส (จนต้องมีพิพิธภัณฑ์สำหรับเสื้่อผ้าของเด็กชายคนนี้) อย่างวันที่เราไปนั้นเป็นชุดพนักงานดับเพลิง

อ่านมาถึงตรงนี้ หลายคนอาจจะยังงง ๆ ว่า แล้วทำไมต้องไปดูรูปปั้นเด็กยืนฉี่คนนี้ด้วย นั่นหนะสิครับ ลองไปเยือนบรัสเซลส์ดูแล้วคุณจะรู้เองว่าทำไมคนจากทั่วโลกต้องมามุงดูเด็กคนนี้ เหมือนกับที่เราได้ไปมาแล้วและเราก็อดใจไม่ได้ต้องไปพบกับชายที่มีสเน่ห์ที่สุดในบรัสเซลส์คนนี้ในที่สุด

Attached Images

• 
• 

[ทีมข่าวHFLIGHT]

เมื่อกี๊เราเอ่ยถึงกองปลาสกันไปนิดหน่อยแล้ว กองปลาสคืออะไรนั้นเดี๋ยวเราจะพาทุกท่านไปครับ

แต่ระหว่างทางจาก Manneken Pis ไปยังกองปลาสนั้น บนถนน Rue de l'Etuve ตรอกแคบ ๆ แห่งนั้นเต็มไปด้วยร้านค้า ร้านกาแฟ ร้านชอคโกแลตมากมาย รวมไปถึง Vincent Van Gogh สองคนนี้

นักเดินทางผู้มีโอกาสไปสัมผัสเมืองต่างๆ ทั่วโลกหลายคนกล่าวว่าจัตุรัสที่สวยที่สุดในโลกนั้นอยู่ที่บรัสเซลส์ ดังที่นักเขียนชาวไทยท่านหนึ่งเขียนไว้ว่า "อาจไม่ใช่เมืองที่สวยหยาดเยิ้มเหมือนหลายเมืองในยุโรป แต่บรัสเซลส์สวยอย่างถ่อมเนื้อถ่อมตัว แค่มีจตุรัสสวยที่สุดในโลกคอยทุกคนอยู่เท่านั้นเอง" (กาญจนา หงษ์ทอง, 100 เมืองสวยในยุโรป, 2554)

จตุรัสที่สวยที่สุดในโลกที่ว่านั่นก็คือกองปลาส หรือ Grand Place นั่นเอง

Attached Images

• 
• 

[ทีมข่าวHFLIGHT]

Grand Place อ่านว่ากองปลาส ในภาษาฝรั่งเศส ก็แปลเหมือนคำว่า แกรนด์เพลส ในภาษาอังกฤษนั้นแหละ (ส่วนภาษาเฟลมมิชเขียน Grote Markt)

Grand Place เป็นจตุรัสกลางเมืองบรัสเซลส์อันเป็นที่ตั้งของ Town Hall หรือศาลาว่าการเมืองและบรรดาอาคารต่าง ๆ ที่ย้อนประวัติศาสตร์ไปนับหลายร้อยปี

ตัว Grand Place นั้นมีประวัติย้อนไปตั้งแต่ ศตวรรษที่ 12 แต่ตัวศาลาว่าการเมืองนั้นสร้างขึ้นระหว่างปี 1401 - 1455 ทางทิศใต้ของจตุรัสแห่งนี้ และการสร้างศาลาว่าการเมืองตรงนี้นี่เองทำให้จตุรัสแห่งนี้เป็นสถานที่สำคัญทั้งในด้านการค้าและการปกครองบรัสเซลส์

อาคารอื่น ๆ รอบ ๆ กองปลาสนั้นเมื่อแรกเริ่มคือที่ทำการของ Guildhalls หรือที่ทำการของสมาคมการค้า (Guild) หรืออาจจะเรียกได้ว่าเป็นบริษัทยุคแรกของยุโรปในศตวรรษที่ 15

ส่วนอาคารอีกหลังก็คือ The Maison du Roi (King's House) หรือ Broodhuis (Breadhouse) ที่ Manneken Pis ตัวจริงถูกเก็บไว้ในปัจจุบัน

เมื่อได้เห็นอาคารรอบ ๆ Grand Place แห่งนี้แล้วก็ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเขาจึงว่ากันว่านี่คือจตุรัสที่สวยที่สุดในโลก

อาคาร Town Hall พร้อมยอดสูง 96 เมตร ที่ด้านบนสุดมีอนุสาวรีย์ของ Saint Michael สูง 3 เมตร



บรรดาอาคาร Guildhalls ตอนนี้สมาคมการค้าเหล่านี้ไม่เหลือที่ดำเนินกิจการอยู่จริงๆ แล้วนะครับ อาคารนั้นถูกอนุรักษ์ไว้และใช้เป็นร้านค้าร้านอาหาร

[ทีมข่าวHFLIGHT]

Maison du Roi/Broodhuis



อาคารอื่น ๆ รอบ ๆ Grand Place ปัจจุบันเป็นพิพิธภัณฑ์ ร้านอาหาร โรงแรม

Attached Images

• 
• 
• 
• 

[ทีมข่าวHFLIGHT]

Grand Place ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมจาก UNESCO ในปี 1998

แต่ปัจจุบันพื้นที่ลานกว้างของ Grand Place ยังใช้เป็นที่กิจกรรมต่าง ๆ มากมายทั้งโดยรัฐบาล นครบรัสเซลส์ และเอกชน

หรือมีการจัดแสดงดนตรีต่าง ๆ งานเทศกาลดอกไม้ ฯลฯ

นอกจากนั้นแล้วยังเต็มไปด้วยผู้คนที่มาชมความงดงามของกองปลาสแทบจะตลอดเวลา ไม่ว่าจะโดยการมาถ่ายรูป เดินเล่น หรือนั่งรับประทานอาหาร เช่นเดียวกับบ่ายวันเสาร์นี้ที่เรายืนอยู่ที่นี่

Attached Images

• 
• 
• 
• 

[ทีมข่าวHFLIGHT]

อาคาร Town Hall เป็นศิลปะแบบโกธิค

รอบ ๆ ตัวอาคารจะมีรูปปั้นของนักปราชญ์ ขุนนาง นักบุญ และรูปปั้นสมมติต่าง ๆ มากมายนับหลายร้อย

ภาพท้ายสุดนั้นเป็นประตูของ Town Hall ครับ

Attached Images

• 
• 
• 
• 
• 
• 

[ทีมข่าวHFLIGHT]

ที่ใต้อาคารตรงต้นถนน Rue Charles Buls จะมีรูปหล่อของ Everard 't Serclaes ซึ่งเชื่อกันว่าใครได้มาลูบแล้วจะโชคดี (ถึงว่าหละมันวับเลย)

Attached Images

• 

[ทีมข่าวHFLIGHT]

บรรดาถนนและตรอกซอกซอยต่างๆ นั้นจะเต็มไปด้วยร้านอาหาร ร้านขนม บาร์ คาเฟ่ มากมาย ที่บรรดาผู้คนชาวบรัสเซลส์รวมไปถึงนักท่องเที่ยวต่างออกมานั่งกินดื่มใช้ชีวิตยามบ่าย ๆ เย็น ๆ ชื่นชมจตุรัสและบ้านเมืองอย่างเช่นบ่ายวันเสาร์นี้

Attached Images

• 
• 
• 
• 

[ทีมข่าวHFLIGHT]

อย่างที่บอกว่าบรัสเซลส์นั้นเที่ยวไม่ยากนักเพราะระบบการคมนาคมก็ค่อนข้างดี อีกทั้งสถานที่ท่องเที่ยวหลัก ๆ ก็อยู่ไม่ไกลกันในย่านเมืองเก่า

และแม้บรัสเซลส์จะไม่โด่งดังเท่า ลอนดอน ปารีส ซูริค เจนีวา เวนิซ หรือโรม ที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้ไปเยือนปีละมากมาย แต่จากที่เราได้มาบรัสเซลส์ครั้งนี้่ก็พบว่า บรัสเซลส์และเบลเยียมนั้นเป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวมากทีเดียว อย่างในเย็นวันนี้ เราพยายามจะถามทางจากย่านกองปลาสเพื่อกลับโรงแรม แต่ปรากฎว่าทักคนที่ผ่านไปผ่านมาหลายคน เกือบทุกคนแทบจะเป็นนักท่องเที่ยว หาชาวบรัสเซลส์ตัวจริงได้ค่อนข้างยากจนต้องเพิ่งพาพนักงานที่กำลังจัดการจราจรอยู่แถว ๆ นั้น นอกจากนักท่องเที่ยวในยุโรปด้วยกันเองแล้ว กลุ่มนักท่องเที่ยวกลุ่มใหญ่จากเอเชียที่แห่แหนกันมาเที่ยวเบลเยียมอย่างมากทายคือชาวจีน เพราะไปที่ไหนก็ต้องเจอกลุ่มคนจีนมาเที่ยว และคิดว่าชาวจีนน่าจะมาเที่ยวที่นี่เยอะจริง ๆ เพราะว่าบรรดาชาวเบลเยียมที่เห็นหน้าตาคนไทยหัวดำอย่างเรา กลับทักเราว่า หนีห่าว เพราะคิดว่าเราเป็นคนจีนไปซะอย่างนั้น

แต่ก็ไม่แน่ถ้าคนไทยมาเยือนบรัสเซลส์เยอะ ๆ และแนะนำความเป็นไทยให้ชาวเบลเยียมรู้จักบ้าง คราวหน้าเขาอาจจะรู้จักทัก สวัสดี ก็เป็นได้ (ในตอนต่อ ๆ ไป เราจะพาท่านไปเยือนชุมชนชาวไทยที่อยู่ที่นี่และเป็นร่วมงาน Essence of Thailand ที่เหมือนยกเมืองไทย ทั้งมวยไทย รำไทย อาหารไทย ขนมไทย นวดไทย มาไว้ที่เบลเยียมเลยทีเดียว)

Attached Images

• 
• 

[ทีมข่าวHFLIGHT]

เมื่อกี๊เกริ่นไปแล้วนิดหน่อยว่าบรรดาตามถนนตรอกซอยรอบ ๆ กองปลาสนั้น เต็มไปด้วยอาหาร ขนม เบียร์และชอคโกแลต (จริง ๆ แล้วน่าจะเบลเยียมทั้งประเทศเต็มไปด้วยขนมมากกว่า สมเป็นประเทศขนมจริง ๆ ) เราก็ขอพาไปรู้จักอาหารการกินที่โด่งดังในบรัสเซลส์และเบลเยียมกันบ้าง

อย่างแรกคือเบียร์

หลายคนอาจบอกว่า เมืองเบียร์คือเยอรมนี (โดยเฉพาะเวลาดูข่าวกีฬาที่จะแทนทีมเยอรมันว่าอินทรีเหล็กไม่ก็เมืองเบียร์)

เบลเยียมก็เมืองเบียร์ครับ ทั้งประเทศนี้เต็มไปด้วยเบียร์นับหลายร้อยพันชนิด และแต่ละร้านหรือแต่ละ Brew house ก็มีสูตรเบียร์เป็นของตัวเอง เบียร์ที่นี่ก็มีหลากหลายชนิดตามแต่จะสรรหาประดิษฐ์กันออกมาขาย และในโลกใบนี้นั้นเบลเยียมก็ขึ้นชื่อเรื่องเบียร์ไม่แพ้ประเทศไหน ๆ เหมือนกัน

Attached Images

• 

[ทีมข่าวHFLIGHT]

ถัดจากเบียร์ซึ่งมีแอลกอฮอลล์และใครหลายคนอาจจะไม่ชอบดื่มนัก มาพบกับของกินชื่อดังสิ่งต่อไปของเบลเยียม นั่นคือ ชอคโกแลต

ร้านชอคโกแลตที่นี่มีอยู่แทบจะทุกมุมเมืองและร้านชอคโกแลตรวมกันน่าจะมากกว่าร้านค้าประเภทไหนๆ ในประเทศนี้

Belgian Chocolate มีชื่อเสียงมากมายว่าเป็นชอคโกแลตที่อร่อยชั้นนำของโลก และที่เบลเยียมเองก็มีร้านชอคโกแลตมากมายหลายร้านทั้งร้านที่ดัง ๆ จนเป็นแบรนด์ระดับโลกอย่าง GODIVA, Cote d'Or, Guylian, neuhaus (อ่อ...ตัวสเมิร์ฟ Smurfs ก็เกิดที่เบลเยียมนะครับ) และร้านแบรนด์ท้องถิ่น หรือร้านเล็ก ๆ ที่มีสาขาเดียวเป็นกิจการแค่ระดับครัวเรือน อีกมากมาย(ในตอนต่อ ๆ ไปเราจะพาไปรู้่จักชอคโกแลตเบลเยียม ชอคโกแลตนี่มันมาจากเบลเยียมจริงหรอ แล้วทำไมมันมาดังที่เบลเยียม)

Attached Images

• 
• 
• 

[ทีมข่าวHFLIGHT]

ยังไม่หมด เรื่องขนมและของหวานยังไม่สิ้นไปจากเบลเยียมง่าย ๆ ของกินอย่างถัดไปคือวัฟเฟิล ใช่แล้ว Belgian Waffle ดังไม่แพ้ใคร

ร้าน Waffle พบเห็นได้ทั่วเมือง Waffle หน้าตาน่ากินวางขายอยู่ทั่วไป (ชิ้นละ 2 - 5 ยูโร)แม้แต่ในไลน์อาหารเช้าของโรงแรมระดับ 3 ดาวขึ้นไปก็ต้องมีวัฟเฟิล

Attached Images

• 
•