27 replies to this topic

[- The hoBByist -]

Advertisements

สวัสดีครับนี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้มารีวิวใน Hflight เลยครับ เนื่องจากผมโชคดีได้รับการคัดเลือกเป็น 1ใน 52 นักรีวิวของโครงการ Thailand Boutique Awards 2011 ซึ่งเป็นครั้งแรกของผมที่ได้เข้าร่วมโครงการนี้เช่นกัน

สำหรับรีสอร์ทที่ผมรับหน้าที่ไปรีวิวแห่งแรกนี้อยู่ในภาคเหนือ ประกอบกับช่วงนี้กระแสรอยไหม และอุโมงค์ผาเมืองแรงเหลือเกิน แต่เหตุผลที่ผมเลือกที่นี่ไม่ใช่เพื่อไปตามรอยละครใด ๆ ครับ แต่เป็นเพราะผมยังไม่เคยไปเที่ยวที่เชียงใหม่กับคนที่ผมรักเลย จึงตัดสินใจเลือกไปสัมผัสบรรยากาศล้านนาที่นี่ครับ “เก๊าไม้ล้านนา”



ตอนได้ยินชื่อเก๊าไม้ล้านนาครั้งแรกรู้สึกว่าชื่อรีสอร์ทนี้แปลกดี หลาย ๆ คน (ที่ไม่ใช่คนเหนือ)ก็อาจจะรู้สึกเหมือนผม งั้นเรามาทำความรู้จักกับที่นี่กันดีกว่าครับ
“เก๊าไม้ล้านนา” มาจากภาษาคำเมืองซึ่งเป็นภาษาถิ่นดั้งเดิมของล้านนา “เก๊าไม้” แปลว่า ไม้ใหญ่ หรือร่มเงาใต้ต้นไม้ใหญ่ ส่วน “ล้านนา” หมายถึง อาณาจักรเก่าแก่ทางภาคเหนือที่มีเชียงใหม่เป็นศูนย์กลาง

[- The hoBByist -]

ตั้งอยู่ที่หมู่บ้านทุ่งเสี้ยว อำเภอสันป่าตอง จังหวัดเชียงใหม่ ใช้เวลาเดินทางประมาณ 20 นาทีจากสนามบินเชียงใหม่หรือประมาณ 30 นาทีจากตัวเมืองเชียงใหม่ ใช้เส้นทางมุ่งสู่ดอยอินทนนท์ เก๊าไม้รีสอร์ทตั้งอยู่ที่หลักกิโลเมตรที่ 29 มีหลักกิโลเมตรอันใหญ่ตั้งอยู่หน้ารีสอร์ทเป็นจุดสังเกตุ (ในรูปผมเดินออกมาถ่ายตอนมาถึงแล้ว ทำให้หลักกิโลเมตรอยู่ฝั่งขวามือ แต่ถ้าเราขับรถมาจากตัวเมืองเชียงใหม่รีสอร์ทจะอยู่ซ้ายมือครับ)



ความเป็นมา: เก๊าไม้ล้านนารีสอร์ท ในอดีตเป็นที่รู้จักกันดีในนามของโรงบ่มยาสูบฟาร์มทุ่งเสี้ยว สมัยก่อนชาวบ้านในบริเวณนี้มีอาชีพปลูกใบยาสูบ โดยได้รับการสนับสนุนกับเจ้าของโรงบ่มในเรื่องขอต้นกล้า ปุ๋ยและยาที่จำเป็น จนเมื่อต้นยาสูบโตพอที่จะขายได้ ชาวไร่ก็จะเก็บมาขายให้กับเจ้าของโรงบ่มใบยาสูบ จนกระทั่งปี 2529 ความนิยมในการสูบใบยาลดลง โรงงานยาสูบหลายแห่งต้องปิดตัวลง ชาวไร่ส่วนใหญ่ขายที่ดินหรือไม่ก็เปลี่ยนไปทำสวนผลไม้แทน แต่เจ้าของโรงบ่มใบยาสูบฟาร์มต้นเสี้ยวในสมัยนั้นยังคงต้องการที่จะอนุรักษ์โรงบ่มใบยาสูบไว้จึงยังคงสภาพพื้นที่ไว้ดังเดิม



เจ้าของเก๊าไม้รีสอร์ทคนปัจจุบันได้เขามาซื้อที่ดินพื้นนี้ในปี 2526 ซึ่งมีพื้นที่ทั้งหมด 48 ไร่และมีโรงบ่มทั้งหมด 48 หลังด้วยกัน เดิมตั้งใจให้เป็นที่พักผ่อนของครอบครัวเท่านั้น จนกระทั่งปี 2540 จึงได้มีการลองปรับโครงสร้างของโรงบ่มสองหลังเป็นห้องพักสำหรับครอบครัวและเพื่อนสนิท และในปี 2543 ได้ปรับปรุงโรงบ่มเพิ่มอีก 16 หลังและเริ่มธุรกิจรีสอร์ท

[- The hoBByist -]

พื้นที่ส่วนใหญ่ถูกนำมาทำประโยชน์ทั้งหมดโดยมีการปลูกไม้ใหญ่ต้นสูงตระหง่าน ต้นไผ่ ปาล์มนานาชนิด เป็นสวนป่าธรรมชาติ



พื้นที่บางส่วนปลูกพื้นผักสวนครัวเพื่อใช้ในห้องอาหารของทางรีสอร์ตอีกด้วย



ห้องพัก: มีทั้งหมด 36 ห้อง โดยดัดแปลงจากโรงบ่มใบยาสูบ 18 หลัง อาคาร 1 หลังถูกปรับเปลี่ยนให้เป็นที่พัก 2 ห้องแบ่งเป็นชั้นบนและชั้นล่าง ตัวอาคารปกคลุมไปด้วยต้นตีนตุ๊กแก นอกจากจะสวยงามแล้วยังช่วยลดอุณหภูมิในห้องพักอีกด้วย ห้องพักมีทั้งหมด 4 ประเภทด้วยกัน
ห้องซูพีเรีย ตกแต่งด้วยเตียงไม้ แบบ twin bed และไม่มีอ่างอาบน้ำ

[- The hoBByist -]

ห้องดีลักซ์มีทั้ง double bed และ twin bed มีอ่างอาบน้ำ

[- The hoBByist -]

ห้องล้านนาซูพีเรีย ตกแต่งแบบยกพื้นต่างระดับสไตล์ล้านนาท้องถิ่นหรือเรียกว่า “เติ้น” แล้ววางที่นอนลงบนพื้นยกระดับ ห้องล้านนาซูพีเรียเป็น twin bed ไม่มีอ่างอาบน้ำ



ห้องเก๊าไม้ดีลักซ์ ยกพื้นเช่นเดียวกับล้านนาซูพีเรีย ที่นอนเป็น double bed และมีอ่างอาบน้ำ

[- The hoBByist -]

รู้จักความเป็นมากันไปแล้ว ต่อไปเราไปดูส่วนต่าง ๆ ของที่นี่กันดีกว่าครับ
เมื่อขับรถผ่านซุ้มป้ายรีสอร์ทเข้ามาก็สัมผัสถึงความร่มรื่นเนื่องจากมีต้นไม้ใหญ่เต็มไปหมด ภายในค่อนข้างสงบจนไม่น่าเชื่อว่ารีสอร์ทนี้อยู่ติดถนน



บริเวณล็อบบี้ เป็นอาคารโบราณ ภายในค่อนข้างมืด มีเพียงแสงไฟจากนีออน ซึ่งผมว่าน่าจะมีการจัดแสงไฟให้ดูน่าสนใจอีกนิด จะทำให้ไม่ดูมืด และดูโปร่งโล่งกว่านี้

[- The hoBByist -]

ภาพมุมกว้างด้านหน้าล็อบบี้



ระหว่างนั่งรอเจ้าหน้าที่ และปฏิบัติตามขั้นตอนการเข้าพัก ก็เก็บภาพไปเรื่อย ๆ อ้อ!!! ที่นี่ไม่มี welcome drink นะครับ

[- The hoBByist -]

ดูบริเวณหน้าล็อบบี้ และที่จอดรถไปพลาง ๆ ก่อนนะครับ



ที่จอดรถ

[- The hoBByist -]

ได้เวลาไปห้องพักกันแล้วครับ แอบลุ้นว่าจะได้พักห้องแบบไหน เนื่องจากวันที่ไปเข้าพักมีแขกไม่มาก ทางคุณฝนที่คอยประสานงานจึงให้เราขับรถเข้าไปที่หน้าห้องพักเราเลย



มองไปที่ห้องติด ๆ กัน ดูร่มรื่นมาก ๆ

[- The hoBByist -]

ทางเดินเข้าไปห้องพัก ปลูกต้นไม้เป็นซุ้มประตู แต่พื้นบริเวณนี้ต้องระวังนิดนึงเนื่องจากเป็นอิฐแดงมีตะไคร่อยู่ทำให้ลื่นได้ โดยเฉพาะฤดูฝนแบบนี้ แต่ถ้าในฤดูอื่น ๆ คิดว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไร



บริเวณทางเดินชั้นล่าง

[- The hoBByist -]

ขึ้นบันไดไปชั้นบน



บริเวณทางเดินเชื่อมระหว่างห้องพักชั้นบน จะทำเป็นหลังคาตีไม้โปร่งปลูกต้นพริกไทยและดีปลีให้เลื้อยคลุมไว้

[- The hoBByist -]

มีป้ายบอกหมายเลขห้องอยู่เป็นระยะ



ชุดรับแขกด้านหน้าห้องพัก



เราได้พักห้องนี้ครับ เป็นห้องเก๊าไม้ดีลักซ์ ซึ่งเป็นห้องพักที่ดีที่สุดของที่นี่

[- The hoBByist -]

มือจับคงความเป็นเอกลักษณ์ของล้านนามากๆ



กลอนด้านในใช้เป็นไม้ขัดกันไว้แบบบ้านโบราณ



การยกพื้นต่างระดับสไตล์ล้านนาท้องถิ่นนี้เรียกว่า “เติ้น”



ภายในห้องพักรวมถึงห้องน้ำตกแต่งด้วยไม้ทั้งหมด เฟอร์นิเจอร์ในแต่ละห้องจะไม่เหมือนกันเลย เนื่องจากทุกชิ้นเป็นของสะสมของเจ้าของรีสอร์ท แต่ก็ไม่ทำให้การตกแต่งโดยรวมต่างกันมากนัก ยังให้ความรู้สึกถึงความเป็นล้านนาได้เป็นอย่างดี

[- The hoBByist -]

โทรทัศน์ยังเป็นรุ่นเก่าอยู่ และก็ไม่ค่อยชัด ช่อง 7 ดูไม่ได้เลย มีช่อง UBC 2 ช่อง (ดีนะที่มี True Sport 1 ทำให้คนชอบดูฟุตบอลอย่างผมลืมเรื่องโทรทัศน์รุ่นเก่าไปเลย) อีกอย่างคือรีโมทคอนโทรลต้องใช้ยางรัดเลยทีเดียว ไม่อย่างนั้นฝาปิดด้านหลังจะหลุด



แต่ถึงแม้สัญญาณโทรทัศน์จะไม่ค่อยชัดแต่ทางรีสอร์ทก็มี Movie Menu ให้แขกเลือกยืมมาดูได้ นอกจากนี้ที่นี่มีสัญญาณ Wifi ด้วยครับ แต่ถ้าเล่นในห้องพักสัญญาณจะอ่อนพอสมควร Wifi Zone จะมีอยู่ที่ล็อบบี้ และโยคะสตูดิโอครับ



ภาพมุมกว้างภายในห้อง สภาพห้องโดยรวมดูค่อนข้างเก่า ผนังห้องมีรอยเปื้อนอยู่บ้างพอสมควร ผ้าม่านและผ้าปูเตียงเป็นผ้าฝ้ายเลยยิ่งดูเหมือนผ้าเก่าไปนิด และมีน้ำแอร์รั่วมาที่พื้นเล็กน้อย ไม่ถึงกับท่วมพื้น แต่ถ้าไม่ระวังก็อาจจะทำให้ลื่นได้



ลองกางมุ้งออกครับ แต่พอถึงเวลานอนจริง ๆ ไม่ได้กางนะครับ ไม่มียุงมารบกวนเลยครับ




มาดูภายในห้องน้ำกันบ้างดีกว่า ห้องน้ำจะแบ่งออกเป็น 3 ส่วนคือส่วนฝักบัว ส่วนอ่างอาบน้ำ และโซนแห้ง

[- The hoBByist -]

บริเวณที่อาบน้ำด้วยฝักบัวครับ ปูกระเบื้องดูคลาสสิคดีครับ และต้องขอชมเรื่องระบบน้ำที่นี่ครับ เพราะฝักบัวเวลาเปิดน้ำอุ่นก็ทำได้เร็วและปรับอุณหภูมิได้ไม่ยาก และน้ำแรงดีครับ



ตู้เย็น และร่ม (สำคัญมากเนื่องจากทางเดินมาที่ห้องถึงแม้จะปลูกต้นไม้ให้คลุมแล้วแต่ถ้าฝนตกก็เปียกอยู่ดี)



หลังจากเข้าห้องพักแล้ว ก็ขอพักผ่อนก่อนเนื่องจากเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง แถมโดนภูมิแพ้เล่นงานอีก จนต้องกินยาและนอนพักจนอาการดีขึ้นก็เป็นเวลาที่เรานัดหมายกับคุณฝนเพื่อให้พาชมบริเวณโดยรอบรีสอร์ทพอดี
ที่แรกเป็นสปา ชื่อว่า บ้านท่ากานสปา ดัดแปลงมาจากบ้านพักของนายสถานีโร่งบ่มใบยาสูบในสมัยก่อน

[- The hoBByist -]

เมื่อเปิดประตูเข้าไปก็จะพบกับเคาน์เตอร์ต้อนรับ



มีห้องสปาทั้งหมด 3 ห้องด้วยกัน ได้แก่ ห้องนวดน้ำมัน



ห้องนวดไทย



ห้องแช่โคลนและในบริเวณห้องโถงส่วนหน้า ยังมีเก้าอี้บริการนวดเท้าอีกด้วย

[- The hoBByist -]

เวลาเปิดปิดในโบรชัวร์ระบุว่าเปิด 10:00-20:00 น. แต่เจ้าหน้าที่บอกว่า เปิด 8:00-17:00 น. วันที่ผมไปพัก เจ้าหน้าที่สปาก็กลับตอน 5 โมงเย็นพอดีครับ



โยคะสตูดิโอ: เป็นอาคารทรงซาฟารี 2 ชั้น ชั้นบนเปิดโล่งใช้สำหรับเป็นที่ฝึกโยคะ โดยทางรีสอร์ทจะมีเปิด class โยคะสำหรับแขกที่มาพักทุกวัน ช่วงเวลา 7:00-8:00 น. และ 10:00-11:00 น. ยกเว้นวันพุธ น่าเสียดายที่ช่วงที่ผมไปเข้าพัก ครูโยคะหยุด เลยไม่มีโอกาสได้ลองเล่นโยคะที่รีสอร์ท ชั้นล่างของโยคะสตูดิโอจัดเป็นที่สำหรับทานอาหารเช้าสำหรับแขกที่เข้าพัก



เราเดินชมรีสอร์ทไปเรื่อย ๆ จนถึงเวลาอาหารเย็น ซึ่งทางรีสอร์ทใจดีนอกจากให้ที่พัก 3 วัน 2 คืนพร้อมอาหารเช้าแล้ว ยังมีอาหารเพิ่มให้เราอีก 2 มื้อด้วย เราจึงเดินกลับมาที่บริเวณร้านอาหารซึ่งอยู่ติดกับล็อบบี้

[- The hoBByist -]

ห้องอาหาร เป็นแบบเปิดเปิดโล่ง ให้ปริการตั้งแต่ 7 โมงถึง 4 ทุ่มทุกวัน ทั้งอาหารเช้า กลางวันและเย็น ผักบางส่วนมาจากสวนครัวที่ทางรีสอร์ทปลูกไว้เอง ให้บริการทั้งอาหารพื้นเมืองและอาหารไทย



เมนูที่เราสั่งวันนี้ได้แก่ ออร์เดิร์ฟเก๊าไม้ ประกอบด้วยไส้อั่ว ลาบหมูคั่ว หมูแดดเดียว และตำมะม่วง



ต้มโคล้งเห็ดรวมมิตร (แต่ผมเห็นแต่เห็ดฟาง)



ปอเปี๊ยะรวมมิตร (แต่เครื่องไม่พร้อมเลยแนะนำปอเปี๊ยะกุ้งสดมาให้) สำหรับรสชาติจัดอยู่ในระดับปานกลาง อาจเป็นเพราะอาหารบางอย่างเป็นอาหารพื้นเมืองซึ่งไม่ถูกปาก อันนี้ก็ถือเป็นความคิดเห็นส่วนบุคคลนะครับ เพราะแต่ละคนคงชอบรสชาติอาหารไม่เหมือนกัน

[- The hoBByist -]

หลังจากทานอาหารอิ่ม ก็ไปเก็บบรรยากาศรอบ ๆ ต่อ ซึ่งช่วงทไวไลท์แบบนี้คงมีที่สระว่ายน้ำอย่างเดียวที่จะถ่ายรูปได้เนื่องจากบริเวณอื่นของรีสอร์ทถูกปกคลุมไปด้วยต้นไม้ใหญ่



สระว่ายน้ำ: มีขนาดใหญ่ ตั้งอยู่ ใกล้กับโยคะสตูดิโอ ทราบจากเจ้าหน้าที่รีสอร์ทว่า พึ่งปูกระเบื้องใหม่ไปเมื่อ 2 เดือนที่ผ่านมา ทำให้ยังดูใหม่อยู่



ดูบรรยากาศอีกนิดก่อนแสงจะหมด

[- The hoBByist -]

อาหารเช้า: มีให้เลือก 2 แบบคือ ABF และข้าวต้มหมู ไก่ หรือกุ้ง รีสอร์ทจะทำอาหารจากห้องอาหารส่วนหน้าแล้วก็นำมาเสริฟที่โยคะสตูดิโอ
ของผม ABF



ส่วนคนที่รักผมสั่งข้าวต้มไก่



ชา กาแฟ น้ำเปล่า น้ำส้ม ขนมปัง เนยและแยมสตรอเบอรี่แบบโฮมเมด มีเสิร์ฟให้พร้อมครับ



บริเวณด้านหน้าของโยคะสตูดิโอจะเป็นลานกิจกรรมเหมาะสำหรับทำกิจกรรมของแขกที่มาพักเป็นหมู่คณะ หรือจะใช้เป็นสถานที่จัดงานเลี้ยงในโอกาสต่าง ๆ ก็สามารถทำได้ เห็นว่าช่วงเดือนหน้าก็มีคนจองสำหรับจัดงานแต่งงานด้วย