สวัสดีครับ ขอเปิดรีวิวแบบนักเขียนนวนิยาย (น้ำเน่า) สักนิดเพื่อจะได้มีอะไรแปลกใหม่บ้างครับ
เสียงนาฬิกาปลุกข้างหัวเตียงดังขึ้น มันบอกเวลา 9 โมงเช้า ผมเดินงัวเงียแบบครึ่งหลับครึ่งตื่นตรงไปยังหน้าต่างห้องนอนเพื่อรับแสงแดดแรกยามเช้าเช่นเคย ทันใดนั้นตาผมสว่างเบิกโพลงขึ้นมาทันที อาการครึ่งหลับครึ่งตื่นหายไปเป็นปลิดทิ้ง เพราะสิ่งที่ผมมองเห็นผ่านหน้าต่างออกไปคือ ปิรามิดแก้วและกลุ่มอาคารพิพิธภัณฑ์ลูฟท์ (Musee du Louvre) อันยิ่งใหญ่ และเมื่อกวาดสายตาผ่าน Places du Carrousel ไปทางขวามือก็พบกับสวนตุยเลอรี (Jardin des Tuileries) อันงามสง่า โดยมีสะพานรอยัล (Pont Royal) ทอดข้ามแม่น้ำแซน (La Seine) สะท้อนแสงอ่อน ๆ ของดวงอาทิตย์ยามเช้า อยู่ไกล ๆ เป็นฉากหลัง
“นี่มันปารีสนี่หว่า” ผมอุทานเสียงดังกับตัวเอง
แม้กระนั้นเพื่อความแน่ใจว่ามิได้ฝันไป ผมเปิดประตูระเบียงห้องนอนเพื่อออกไปสำรวจให้แน่ชัด ลมเย็นยะเยือกได้ปะทะถาโถมใส่ตัวผมอย่างแรง จนทำให้ผ้าคลุมไหล่ pashmina ผืนเขื่องปลิวจากตัวผมลอยถอยไปตกข้างหลังร่วมสองเมตร เมื่อมองลงไปด้านล่าง เห็นรถราเริ่มขวักไขว่และผู้คนจำนวนมากเดินไปมาอยู่บนถนนริโวรี (Rue de Rivoli) ทำให้ผมแน่ใจขึ้นมาทันที
“ผมได้กลับมาเยือนปารีส มหานครที่ยิ่งใหญ่ สวยงาม สุดแสนจะโรแมนติก อีกครั้งหนึ่งแล้ว”
“แล้วผมมาที่นี่ได้อย่างไร” ผมตั้งคำถามให้กับตัวเองอยู่ในใจ ทันใดนั้นสมองส่วน cerebellum ของผมได้ประมวลข้อมูลและให้คำตอบออกมาว่า
ผมออกเดินทางจากสนามบินสุวรรณภูมิเมื่อขึ้นเข้าวันใหม่ของวันอาทิตย์ที่ 16 มกราคม มาได้ 5 นาที หรือ 00.05 น.(โดยเช็คอินค่ำวันเสาร์ที่ 15 มกราคม) และมาถึงปารีสตอนเช้าในเวลา 08.15 น. (ดีเลย์) ของวันเดียวกัน ตามเวลาท้องถิ่น ด้วยเที่ยวบินของการบินไทย TG.930 ในชั้น Royal First Class ผมจำได้ว่าผมได้รับการบริการอย่างดีเลิศเช่นเคยทั้งในภาคพื้นดินและบนเครื่องตลอดเวลาจนมาถึงปารีส
และนี่คือที่มาของการทำรีวิวการเดินทาง BKK – CDG ของผมในครั้งนี้ครับ