พอมาถึงอาคารผู้โดยสารแล้วพวกเราก็เหมือนกับถูกต้อนรับอย่างดีจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทางเดินของผู้โดยสารการบินไทยไฟลท์นี้คดเคี้ยวกว่าที่ควรจะเป็น เพราะถูกกั้นด้วยเครื่องกั้นตลอดเส้นทาง และมีเจ้าหน้าที่ตำรวจยืนคุมอยู่ทุกจุด พวกเราเดินวนไปเวียนมามากกว่าความจำเป็น และแล้วพวกเราก็มาหยุดอยู่ที่ "ห้องเย็น" ที่แยกออกจากส่วนอื่นๆ ของสนามบินโดยสิ้นเชิง ผู้โดยสารทั้งหมด รวมถึงลูกเรือของเที่ยวบินนี้ ล้วนแล้วแต่ถูกกักตัวเอาไว้ในห้องเย็นนี้ทั้งสิ้น
ก่อนจะถึงห้องเย็น สัมภาระ carry on ของผู้โดยสารทุกคนก็ถูก scan อีกรอบหนึ่ง ไม่ต่างอะไรกับตอน scan carry on ก่อนขึ้นเครื่องเลย
ผู้โดยสารหลายคนก็บ่นพึมพำว่าเกิดอะไรขึ้น ผู้โดยสารที่ต้องต่อเครื่องเริ่มออกมาคุยกับลูกเรือว่าแล้วเครื่องที่ผมต้องต่อล่ะจะทำยังไง ผมเห็นมีแอร์ของ AA คนนึงโดยสารมากับเที่ยวบินนี้ด้วย แล้วเขาต้องไป on duty ที่ ORD ตอนเช้า เห็นเขาร้องไห้เลยทีเดียวเพราะกลัวไปไม่ทัน
ผมเองก็ได้โอกาสลองไปถามบรรดาลูกเรือ บรรดาลูกเรือก็ได้แต่ส่ายหน้าบอกว่าไม่รู้เรื่องว่าเกิดอะไรขึ้น แม้แต่คุณกัปตันก็บอกว่าบินมาเป็นสิบๆ ปีก็เพิ่งจะเคยเจออะไรแบบนี้นี่แหละ
ในห้องเย็นนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจยืนคุมทางออกทั้งสองทางเอาไว้ไม่ให้ใครออกไปไหน แต่เริ่มเปิดให้ผู้โดยสารที่ต้องการใช้ห้องน้ำได้ใช้ห้องน้ำ ในขณะเดียวกัน โทรศัพท์มือถือเป็นสิ่งต้องห้ามที่นี่ เจ้าหน้าที่สั่งให้ทุกคนในนี้ปิดโทรศัพท์มือถือทั้งหมด ทำให้ผู้โดยสารบ่นกันพึมพำ
หนึ่งชั่วโมงครึ่งผ่านไป ทางสนามบินเริ่มเอาน้ำขวดมาแจก ผู้โดยสารที่เหนื่อยและอิดโรยจากการเดินทาง 16 ชั่วโมงจากกรุงเทพมาแล้ว พอเห็นขวดน้ำก็ถอนหายใจด้วยความโล่งใจไปเปลาะหนึ่ง เพราะหนึ่งชั่วโมงครึ่งที่ผ่านมาในห้องเย็น บวกกับอีกชั่วโมงบนรถบัส เจ้าหน้าที่สั่งไม่ให้ทำอะไรเลย พวกเราก็ทำได่้อย่างเดียวคือนั่งรอ
สิบห้านาทีหลังจากเริ่มแจกน้ำ เจ้าหน้าที่ก็มาแจ้งว่าเราจะทยอยปล่อยผู้โดยสารออกไปยัง ตม. เร็วๆ นี้ ทุกคนปรบมือกันลั่นห้องเย็นด้วยความดีใจ
อีกสิบห้านาทีต่อมา ผมก็ได้ออกจากห้องเย็นไปยัง ตม. เสียที หลังจากที่เสียเวลาไปเกือบสามชั่วโมง!! และ ตม. ที่นี่ปั๊มให้ผมผ่านไปอย่างง่ายดาย เทียบกับสี่ปีที่ผ่านมาที่ชิคาโกแล้ว ครั้งนี้ผมเข้าอเมริกาได้สบายมากๆ พอผ่านศุลกากรไปได้ก็ได้เวลารับกระเป๋า
"จบซะทีนะ" ผมคิด