125 replies to this topic

[ทีมข่าวHFLIGHT]

Advertisements

ห้องแบบนี้เปิดประตูห้องนอนมาก็จะเจอชายหาด ซึ่งมีพื้นที่ส่วนตัวของห้อง(มีต้นไม้กันรอบข้างพร้อมกับเก้าอี้ชายหาดอยู่จากนั้นถ้าเลยออกไปก็เดินลงทะเลได้เลย

 

 

 

[ทีมข่าวHFLIGHT]

เครื่องอำนวยความสะดวกแบบนี้ก็มีทุกห้องนะ (ในห้องแบบ Water Villa ก็มีเช่นกัน) สำหรับแพคเกจแบบ All Inclusive ก็จะรวมอาหารขนมในมินิบาร์แล้วด้วย ซึ่งจะมีการเติมวันละครั้ง ส่วนเรื่องน้ำดื่มนั้น ก็มีเพียงพอนะ จะมีวางในห้องถึงวันละ 4 ขวดอย่างน้อย และก็ขอเพิ่มได้ น้ำแข็งก็ขอได้เช่นกัน

 

[ทีมข่าวHFLIGHT]

ห้องอาบน้ำก็คล้าย ๆ กันก็จะเป็น Shower box ยกเว้นแบบ Deluxe Ocean Beach Front Villa ก็จะมีอ่างอาบน้ำให้ด้วย พวกสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ก็มีให้พร้อมนะตามมาตรฐานโรงแรมสี่ดาว

 

 

 

 

 

[ทีมข่าวHFLIGHT]

ความพิเศษของห้อง Ocean Beach Front ก็คือจะมีพื้นที่กลางแจ้ง ที่ปิดมิดชิดรอบด้านให้ด้วย (ซึ่งห้องไหนมีอ่างก็จะอยู่ตรงนี้) ทำให้มีพื้น ๆ คล้าย ๆ สวนส่วนตัว ภายในห้องพักเราเอง และที่ทางเข้าห้องฝั่งติดกับชายหาดก็จะมีก๊อกน้ำไว้ให้ล้างเท้า ถ้าเป็นทางเข้าจากฝั่งทางเดินในเกาะก็จะมีตุ่มไว้ให้ตักน้ำล้างเท้า

 

 

 

 

[ทีมข่าวHFLIGHT]

มาดูเรื่องอาหารการกิน อยู่ที่นี่ไม่ต้องกลัวอด เพราะมีห้องอาหารถึง 4 แห่งในรีสอร์ท 

 

Centara Ras Fushi นี่ถือเป็นรีสอร์ทที่ใหญ่พอสมควร มีห้องพักถึง 140 ห้อง ซึ่งก็จะมีจุดเด่นจุดด้อยต่างกัน จุดด้อยก็คือหลายคนอาจกลัวว่าพอเป็นรีสอร์ทใหญ่แล้วมันจะดูพลุกพล่านคนเยอะ ก็จะไม่สงบ ไม่ดูเป็นส่วนตัว อันนี้ทางรีสอร์ทเขาก็จะต้องหาวิธีการจัดการออกแบบภูมิทัศน์ต่าง ๆ ให้มันดูมีแนวต้นไม้ มีทางเดินที่เป็นมุมมีพื้นที่หลาย ๆ โซนคนจะได้ไม่รู้สึกว่าต้องมาอยู่รวมกันเยอะ ๆ จุดเด่นก็คืออย่างแรกเลยพอมีคนเยอะ ก็จะมีแขกมากพอคุ้มค่าที่จะเปิดห้องอาหารที่หลากหลายแห่ง อย่างที่นี่มีถึง 4 แห่งมีทั้งห้องอาหารที่เป็น International Buffet แล้วก็มีห้องอาหารอาหรับ อิตาเลียน และไทย แขกก็จะมีตัวเลือกที่หลากหลายไม่จำเจในการรับประทานอาหาร ให้สลับเปลี่ยนกันไป ไม่ใช่ว่าพอมานอนหลายวันก็ต้องกินห้องอาหารเดิม ๆ ทุกมื้อ รวมถึงเรื่อง facilities ต่าง ๆ เช่นกัน เมื่อมีแขกมากพอก็คุ้มค่าที่จะลงทุน เช่น ที่นี่มีสระว่ายน้ำ(จืด) ด้วยนอกเหนือจากการที่ให้แขกว่ายน้ำทะเล มีกิจกรรมกีฬาทางน้ำที่หลากหลาย ตัวเลือกไปทัวร์ไป excursion ก็จะมีความหลากหลายขึ้นเพราะมีลูกค้ารองรับมากพอ

 

เอาหละมาดูห้องอาหารกันก่อน ห้องอาหารแรกคือ Ocean Restaurant อันนี้เป็น International Buffet ให้บริการทุกวัน ทุกมื้อเช้ากลางวันเย็น มาใช้บริการที่นี่ได้หมดและเป็นแบบ All you can eat (หรือเป็นภาษาไทยคือบุฟเฟต์(ตามที่คนไทยเข้าใจ คือตักได้เองเรื่อย ๆ ตรงข้ามกับ a la carte) ซึ่งแม้จะเป็นห้องอาหารแห่งเดิมแห่งเดียวแต่หากมารับประทานแต่ละวันก็จะมีอาหารเป็น theme แตกต่างกันไปในแต่ละวันด้วยนะ แต่หลัก ๆ คือนานาชาติ คือต้องมีอาหารแบบมาตรฐานที่ใคร ๆ ก็กินเป็นสักอย่างแน่ ๆ ในแต่ละมื้อ

 

 

[ทีมข่าวHFLIGHT]

สำหรับมื้อเช้านั้น ยังไงก็หนีไม่พ้นที่ Ocean เพราะว่าเป็นห้องอาหารเดียวที่เปิดให้บริการอาหารเช้า(ยกเว้นจะสั่งเป็น room service ไปในห้อง แต่อันนั้นจะไม่รวมในแพคเกจ) ส่วนมื้อเที่ยงและมื้อเย็นหากอยากกินแบบบุฟเฟต์ก็มาที่นี่ได้ แต่ก็จะมีตัวเลือกห้องอาหารอื่น ๆ ด้วยที่เราควรไปลอง

 

 

 

[ทีมข่าวHFLIGHT]

อันนี้เป็นบรรยากาศในห้องอาหาร Ocean นะ สำหรับคนไทยที่กินอาหารแทบจะทุกประเภทนั้น หลายคนอาจจะกังวลว่ามามัลดีฟส์ซึ่งเป็นประเทศมุสลิมแล้วอาหารบางอย่างจะไม่มีให้บริการเพราะจะต้องมีข้อกำหนดทางศาสนา ซึ่งก็ใช่ครับหากเราไปยังเกาะที่เป็นที่อยู่ของชุมชนมัลดีฟส์ก็จะไม่มีหมูขายแน่ ๆ และก็จะไม่มีแอลกอฮอล์ ด้วย แต่ถ้ามาพักแบบรีสอร์ทเกาะใครเกาะมันก็จะเป็นข้อยกเว้นครับ เพราะว่าสามารถนำเข้าเนื้อหมูและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มาให้บริการได้ (จริง ๆ นอกจากเนื้อหมูแล้ว ทุกอย่างที่มัลดีฟส์ก็นำเข้าทั้งหมดนั่นแหละ เพราะที่นี่มีแต่เกาะ ๆ ๆ  ซึ่งแต่ละเกาะขนาดเล็กมากขนาดแบบไม่ถึงหนึ่ง ตร.กม. หรือเกาะใหญ่หน่อยก็ไม่กี่ ตร.กม. ดังนั้นจะมาเลี้ยงสัตว์เพาะปลูกไม่ได้อยู่แล้ว สิ่งเดียวที่อาจจะไม่ต้องนำเข้าก็คืออาหารทะเล นั่นเป็นเหตุผลว่า ทำไมราคาที่มัลดีฟส์ของกินของใช้อาหารการกินที่พักมันถึงแพง ก็เพราะต้องมีต้นทุนในการบริหารจัดการสิ่งเหล่านี้ให้มีบริการ)

 

 

 

 

[ทีมข่าวHFLIGHT]

ต่อ ๆ จากโพสต์ที่แล้ว ก็อยากจะอธิบายต่อว่า พอพูดถึงราคาโรงแรมรีสอร์ทแบบนี้ที่มัลดีฟส์หลายคนอาจจะบอกว่า โหทำไมแพง หลายรีสอร์ทห้องก็ดูธรรมดา ๆ ไม่ได้มีอะไรพิเศษเลย คืนนึงเป็นหลักหมื่นขึ้นไปทั้งนั้น ถ้านอนในเมืองไทยราคาแบบนี้ได้แบบวิลล่าทั้งหลังพร้อมสระส่วนตัวก็มี ก็ต้องขยายความต่อจากที่เรากล่าวไปแล้วหละครับว่า เพราะสภาพภูมิประเทศของมัลดีฟส์ทำให้ทุกอย่างมันมีต้นทุน อย่างที่เราบอกว่าแต่ละเกาะที่เอามาทำรีสอร์ทนั้นมีขนาดแค่ แบบกว้าง ยาวหลักร้อยเมตร ซึ่งคิดว่าเกาะที่มีขนาดแค่นี้จะมีทรัพยากร เช่น อิฐ หิน ดิน ทราย หรือไม้ มาสร้างที่พักมาสร้างอาคาร ได้ไหม คำตอบก็คือทุกอย่างก็ต้องนำเข้ามาทั้งนั้น และต้องขนข้ามทะเลมาสร้างบนเกาะแบบนี้ให้ได้ด้วย นี่ก็เป็นต้นทุนที่สูงแล้ว ยังไม่รวมถึงทรัพยากรที่แขกจะมาบริโภคอุปโภคอย่าง น้ำกิน น้ำจืด หรืออาหาร เกาะขนาดแค่นี้นั้นแทบไม่มีแหล่งน้ำจืดให้นำมาใช้ได้อยู่แล้ว ทุกอย่างก็ต้องนำเข้ามา หรือมาสร้างโรงกรองน้ำ กลั่นน้ำฝนมาใช้ รวมไปถึงทางรีสอร์ทก็ต้องมีการบริหารจัดการทุกอย่างเพื่อรองรับให้มีมาตรฐานและความปลอดภัยแก่แขกที่มาพักในสภาพแบบเกาะใครเกาะมันแบบนี้ ยกตัวอย่างเช่น โรงแรมต้องมีทีมดับเพลิงของตัวเอง เพราะสภาพเป็นเกาะ ๆ แบบนี้ จะโทรเรียกรถดับเพลิงมาเหมือนเราไปนอนโรงแรมที่อื่นในเมืองก็ไม่ได้ ดังนั้นถ้าเกิดอุบัติเหตุอะไรต่าง ๆ ทางรีสอร์ทแต่ละแห่งก็ต้องมีการลงทุนและการจัดการให้มีความพร้อมเหล่านี้ นี่ยังไม่รวมถึงค่าสัมปทานและภาษีที่ต้องจ่ายให้รัฐบาลมัลดีฟส์ เพราะมาใช้ทรัพยากรเขาขนาดนี้ ทางมัลดีฟส์ก็คงไม่ได้ให้ฟรี นั่นจึงเป็นที่มาของคำถามของหลาย ๆ คนว่า ทำไมที่พักมัลดีฟส์มันถึงแพงนัก หรือถ้าราคาเดียวกันแบบนี้ในเมืองไทย ได้ห้องได้บ้านไปทั้งหลังแล้วนะ เราก็ต้องมองในภาพรวมแบบนี้ แต่ทั้งหมดนั้นก็แลกมากับ Maldives Experience ที่แทบจะไม่เหมือนใครในโลกนะครับ

 

 

 

[ทีมข่าวHFLIGHT]

อธิบายซะยืดยาวเลย กลับมาชมบรรยากาศของห้องอาหาร Ocean กันต่อ เป็นอาคารทรงกระโจม พื้นเป็นทรายนะ แต่ว่ามีการติดเครื่องปรับอากาศด้วยนะ ที่นี่จะอยู่กลางเกาะเลยและเป็นห้องอาหารที่ใหญ่ที่สุดมีถึง 130 ที่นั่ง

 

 

[ทีมข่าวHFLIGHT]

จริง ๆ แล้วมาอยู่เกาะก็ไม่จำเป็นจะต้องอยู่แต่ที่เกาะ เพราะทีนีจะมี Excursion Center หรือศูนย์บริการไปทัวร์ ไปทำกิจกรรมนอกเกาะ (ซึ่งกิจกรรมส่วนใหญ่ก็จะเกี่ยวกับทะเล) เช่นไปดำน้ำ ไปตกปลา ไปดูฉลาม ดูโลมา เป็นต้น แต่ก็มีแบบไปทัวร์ในเมือง ไปเยือนเกาะที่ชาวบ้านอยู่ก็มี กิจกรรมเหล่านี้จะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มนอกเหนือจากแพคเกจ ราคามากน้อยแตกต่างกันไป (มีเรือกึ่งดำน้ำด้วยนะ ก็จะเป็นเรือที่เราลงไปแล้วผนังจะเป็นกระจกอยู่ใต้นำ ทำให้เราได้ดูปลาได้ดูปะการังโดยไม่ต้องดำน้ำ) กิจกรรมนี้ก็จะมีตารางแตกต่างกันไปในแต่ละช่วงเวลาในแต่ละวัน ใครอยากไปทำอะไรก็สอบถามตารางจากทางโรงแรม

 

 

 

 

 

[ทีมข่าวHFLIGHT]

สำหรับเย็นวันนี้เราจะออกไปทำกิจกรรม Sunset Fishing ไปตกปลายามเย็น โดยเราจะเดินทางไปด้วยเรือแบบนี้เรียกว่าเรือ Dhoni

 

 

[ทีมข่าวHFLIGHT]

เรือแบบนี้เมื่อก่อนใช้ใบและแรงลม พอยุคหลังก็ใช้เครื่องยนต์ แต่เอกลักษณ์จะใช้เท้า หรือขาในการบังคับหางเสือ

 

 

[ทีมข่าวHFLIGHT]

พอมาถึงจุด พนักงานก็จะมาสอนวิธีตกปลา ใช้แต่เอ็นกะเบ็ดแบบนี้แหละตก ส่วนเหยื่อก็เป็นเนื้อปลา ถ้าตกได้ปลาที่มีขนาดใหญ่พอจะสามารถนำกลับไปให้โรงแรมปรุงอาหารให้ได้ด้วยนะ

 

แต่ปรากฎว่าตลอดทั้งเย็น เราก็ตกไม่ได้ หย่อนเบ็ดไปทีไรก็โดนปลามากินไปหมด ดึงขึ้นมาไม่ทันได้ปลาสักที (ไม่ใช่ไม่มีปลานะ แต่ทักษะไม่พอจะตกได้ เหยื่อโดนกินหมดก่อน จากทริปตกปลาก็เลยเป็นการมาให้อาหารปลายามเย็นแทน)

 

 

 

 

[ทีมข่าวHFLIGHT]

จากการตกปลาที่จับอะไรไม่ได้ เราก็กลับมาที่รีสอร์ท มากินอะไรที่ร้านอาหารแบบสบาย ๆ โดยที่ไม่ต้องออกแรงต้องจับต้องหาให้เหนื่อยดีกว่า

 

นี่เป็นอีกร้านอาหารหนึ่งบนเกาะ ชื่อ Al Khaima เป็นร้านอาหารอาหรับที่ตอนแรกโรงแรมชวนให้เรามาลองรับประทาน เราแอบนึกในใจว่า จะดีหรออาหารอาหรับ ไม่ลองได้ไหมกับไปกินบุฟเฟต์ดีกว่า ก็ด้วยความเป็นคนไทยก็จะไม่คุ้นกับอาหารแขก และก็อาจจะยินชื่อเสียงของอาหารแขกเรื่องกลิ่นเรื่องเครื่องเทศมาบ้าง

 

แต่พอได้มาลองแล้วขอบอกเลยว่าเปลี่ยนความคิดไปเลย นี่ถือเป็นหนึ่งในทีเด็ดของ Centara Ras Fushi เลย ที่ใครได้มาต้องหาโอกาสมาลอง เหนือความคาดหมายทั้งรสชาติ ทั้งบรรยากาศ จนเรายกให้เป็นหนึ่งในประสบการณ์ที่พิเศษของทริปเลย

 

มาดูที่บรรยากาศก่อนเลย ร้านอาหารแห่งนี้จะสร้างเป็นแบบ Bedouin Dining Tent คือเป็นเต้นของชาวเบดูอินหรือชาวพื้นเมืองในทะเลทรายแถบอาหรับ ถึงแม้จะเป็นเต้นท์เปิดแต่ก็ติดเครื่องปรับอากาศไว้รอบ ๆ นะดังนั้นกินไปสบาย ๆ ไม่ร้อน ที่นี่จะเปิด 19.00 - 22.00 น. นั่นหมายความว่าจะให้บริการเฉพาะมื้อเย็นเท่านั้น

 

 

 

[ทีมข่าวHFLIGHT]

บรรยากาศดูดีใช่ไหมหละ ของจริงสวยน่าถ่ายรูปมาก

 

 

[ทีมข่าวHFLIGHT]

ที่นี่ได้รับความนิยมพอสมควรนะถ้าใครมาช่วงที่แขกเข้าพักเยอะ ๆ อาจเต็มได้ ควรจองโต๊ะไว้ล่วงหน้า

 

 

[ทีมข่าวHFLIGHT]

อาหารที่นี่จะเป็นแนว Arabian + Grill ก็จะไม่มีหลายอย่างทีเป็นแนวย่าง ๆ ไม่ได้อาหรับจ๋าจนเรากินไม่ได้

 

สำหรับห้องอาหารอื่น ๆ นอกเหนือจาก Ocean แล้วจะเป็นแบบ A la carte หรือสั่งตามเมนูไม่ใช่บุฟเฟต์แบบ all you can eat ทีนี้สำหรับคนที่พักในแพคเกจแบบ All Inclusive หรือแบบมีมื้ออาหารนั้น หากไปกินบุฟเฟต์ก็กินไปเลยไม่ต้องจ่ายเพิ่มกินได้เท่าไรกินไป แต่ถ้ามาห้องอาหารแบบนี้พวกแพคเกจนั้นจะได้เครดิต 40 USD ต่อมื้อต่อคน สำหรับการใช้สั่งอาหารต่าง ๆ (ส่วนเครื่องดื่มสั่งได้เต็มที่ตามแพคเกจ All Inclusive อยู่แล้วไม่ต้องกลัว) ตัวเครดิตนั้นก็จะใช้แทนค่าอาหาร(ไม่รวมภาษี) และถ้าสั่งเกินก็ไปจ่ายเงินเพิ่ม ซึ่งตัว 40 USD นั้นก็อยู่ในระดับกลาง ๆ หากมากันหลาย ๆ คนสั่งมาแชร์ๆ กันทั้งอาหารจานแรกอาหารจานหลักก็อาจจะพอ แต่ถ้าใครสั่งอะไรใหญ่ ๆ วิจิตรมากก็จะเกิน อ่อเมนูที่นี่เขามาเป็น tablet เก๋ ๆ แบบนี้มีภาพให้ดูด้วย

 

 

 

[ทีมข่าวHFLIGHT]

อันนี้เป็นอาหารจานแรกหลากหลายชนิดสไตล์อาหรับ บางอันก็คุ้น ๆ เมืองไทยมีโอกาสรับประทานบ้าง บางอันก็แปลกตา

 

Cold Mezzeh เป็นอาหารเรียกน้ำย่อยเสริฟเย็นสไตล์อาหรับ (อันนี้เรามีภาพใหญ่ให้ดู ถ้าใครอยากลองอาหารอาหรับในหมวด starter ก็แนะนำจานนี้ เพราะเหมือนออร์เดิร์ฟจะมาหลาย ๆ อย่างในจานเดียว)

 

Artichoke Salad สลัดอาติโชค

 

Tabba Ouleh ก็คล้าย ๆ สลัด

 

 

 

[ทีมข่าวHFLIGHT]

อาหารจานหลักที่นี่หลัก ๆ ก็จะเป็น Grill สไตล์อาหรับ ซึ่งทุกอย่างจะเสริฟในกะทะร้อน วันนี้สั่งมาทั้งไก่ และกุ้ง ซึ่งทุกอย่างดีมากจริง ๆ ย่างดี รสดี เครื่องเคียงดี และพอเป็นอาหารประเภทย่าง ก็จะไม่ได้แปลกปะหลาดเหนือความคาดหมายเกินไป (แม้จะสไตล์อาหรับ) ถึงกล้าบอกว่าร้าน Al Khaima นี่เป็นหนึ่งในทีเด็ดที่ใครมาควรมาลอง

 

Boneless Half Cut Chicken เป็นไก่ย่างแต่ว่าจะตัดออกมาให้ไม่มีกระดูก มาย่างครึ่งตัว

 

Lamb Chop อันนี้ก็แกะย่าง

 

Grilled Prawns กุ้งย่างเนื้อแน่น

 

 

 

[ทีมข่าวHFLIGHT]

ต่อด้วยของหวานก็จะมีทั้งแบบอาหรับและฟิวชั่น

 

Kellaj - มีไอศกรีม สตอเบอรรี่ ครีม และพิททาชิโอ เรียงมาบนแผ่นแป้งกรอบ ๆ

 

Selection of Arabic Sweets - อันนี้มีหลาย ๆ ชนิดที่เป็นของหวานแบบอาหรับมารวมกัน รสชาติแต่ละอย่างก็จะแตกต่างกันไป

 

Cleopatra - อันนี้เป็นเหมือนมูสรสต่าง ๆ เสริฟกับไอศกรีม