31 replies to this topic

[Cynthia Pun]

Advertisements

Have a Book Night! ที่ Book and Bed Tokyo ที่พักดีไซน์เก๋ อบอุ่นสบายในญี่ปุ่น

 

สวัสดีค่ะ

 

หลังจากที่ได้แชร์ประสบการณ์ทริปญี่ปุ่นด้วยรีวิวการเดินทางกับ All Nippon Airways ทั้งในเที่ยวขาไปและขากลับไปก่อนหน้านี้แล้ว

 

*รีวิว บิน All Nippon Airways จากกรุงเทพฯ สู่โตเกียว แล้วไปนั่งชมเครื่องบินที่ HND

ติดตามชมที่ http://www.hflight.n...topic/17700-ana

 

**รีวิว ไฟล์ทในฝัน! บิน 787-9 ดรีมไลเนอร์ กับ All Nippon Airways ขากลับ โตเกียว-กรุงเทพฯ

ติดตามชมที่ http://www.hflight.n...topic/17704-ana

 

 

ตอนนี้เรายังมีเรื่องราวที่เรียกได้ว่าเป็นสิ่งที่ประทับใจมากที่สุดอีกเรื่องหนึ่งของทริปนี้มาเล่าสู่กันฟัง นั่นก็คือการเข้าพักที่โฮสเทลคอนเซ็ปต์เก๋บวกกับบรรยากาศที่มีความอบอุ่นมาก ๆ ในย่าน Ikebukuro ที่มีเสน่ห์ของโตเกียว ซึ่งที่พักแห่งนี้มีชื่อว่า Book and Bed Tokyo ค่ะ

 

 

Book and Bed Tokyo เป็นที่พักในลักษณะโฮสเทล และเป็นตู้นอนขนาดกระทัดรัดพอดีสำหรับการเข้านอน 1 คนคล้ายกับแคปซูลที่มีอยู่อย่างมากมายในประเทศญี่ปุ่น แต่ความน่าสนใจของที่นี่ก็คือตู้นอนนั้นแทรกอยู่ด้านหลังของชั้นหนังสือ สามารถหยิบหนังสือเข้าไปนอนอ่านในตู้นอนส่วนตัวได้เลยตามสโลแกน "Have a Book Night" และนอกจากดีไซน์โดนใจหนอนหนังสือแล้ว บรรยากาศของที่นี่ยังเต็มไปด้วยความอบอุ่น สบาย สะอาด และสต๊าฟผู้ดูแลก็เป็นกันเองมาก ๆ

[Cynthia Pun]

การเดินทางสู่ Book and Bed Tokyo นั้น มาได้อย่างอย่างสะดวกด้วยระบบขนส่งสาธารณะ หากมาด้วยรถไฟใต้ดินลงที่สถานี Ikebukuro ออกทางออก C8 เดินไม่ถึง 10 ก้าวก็จะพบกับอาคารที่ชั้นล่างเป็นร้านอาหารชื่อ Kirin City

 

 

 

นอกจากนั้นแล้วก็ยังใกล้กับสถานี Ikebukuro ของรถไฟ JR สาย Yamanote และเราก็เห็นมีป้ายรถประจำทางอยู่ด้านหน้าตึกด้วยนะ

 

 

 

นี่เป็นบรรยากาศท้องถนนย่าน Ikebukuro

 

[Cynthia Pun]

ทางเข้าตึกมีป้ายบอกว่าแต่ละชั้นเป็นร้านค้าหรือร้านอาหารอะไร ซึ่งสำหรับ Book and Bed Tokyo ครอบครองพื้นที่ชั้น 7-8 ค่ะ

 

 

 

เข้ามาในอาคารก็มีบอกอีก

 

 

 

เข้ามาในลิฟท์ก็ยังมี

 

[Cynthia Pun]

ส่วนที่เป็น Front หรือจุดที่เราจะไปเชคอินเข้าพักนั้นอยู่ที่ชั้น 8 ค่ะ ลิฟท์เปิดมาก็เจอกับประตูกรงแบบนี้

 

 

 

เฮลโหลลล ไม่มีใครอยู่เลยย มีแต่หนังสือเปิดอ้าค้างไว้ พร้อมกับกริ่งให้กดเรียกสต๊าฟ

 

 

 

กดไป 2 ติ๊ง สต๊าฟก็ออกมาทักทายค่ะ เธอเป็นผู้หญิงที่น่ารักและสดใสมาก เมื่อแจ้งชื่อไปและเธอรู้ว่าเรามาจากประเทศไทย เธอก็พยายามที่จะทักทายเราเป็นภาษาไทยด้วย นี่ก็เป็นหนึ่งเสน่ห์การบริการของชาวญี่ปุ่นที่ทำให้เราประทับใจตั้งแต่นาทีแรกเลยทีเดียว

 

ช่วงที่เราไปถึงนั้นเป็นเวลาประมาณเที่ยงกว่า ๆ เอง ยังไม่ถึงเวลาเชคอิน (เชคอินได้ตั้งแต่ 4 โมงเย็น ถึงห้าทุ่ม) แต่เราได้อีเมลแจ้งล่วงหน้าแล้วว่าจะเข้ามาเพื่อฝากกระเป๋าสัมภาระก่อนในช่วงประมาณเที่ยงถึงบ่ายโมง และจะกลับมาเชคอินเข้าพักในเวลาประมาณสองทุ่ม ซึ่งทาง Book and Bed Tokyo ก็ยินดีที่จะรับฝากไว้ โดยไม่มีค่าบริการ (ช่วงที่หาที่พัก เราเจอบางที่พักคิดว่าบริการฝากกระเป๋า 500 เยนต่อวัน)

[Cynthia Pun]

หลังจากไปตะลุยเที่ยวในช่วงบ่ายยาวจนถึงค่ำแล้วก็ได้เวลากลับมายังที่พักเพื่อเชคอินตามเวลาที่แจ้งไว้ เข้ามารอบนี้ประตูกรงถูกเปิดไว้แล้วค่ะ แต่เราไม่ได้เจอพนักงานสาวที่น่ารักคนเดิม เดาว่าคงหมดกะของเธอไปแล้ว จึงพบกับพนักงานหนุ่มที่อัธยาศัยดีเป็นผู้ต้อนรับและดำเนินการเชคอิน หลังจากนั้นก็หยิบไอแพดขึ้นมาอธิบายกฎของที่พักให้เราฟัง ซึ่งข้อสำคัญ ๆ ก็เช่นว่าเค้าไม่อยากให้เรานำอาหารหรือเครื่องดื่มเข้าไปในห้องพัก แต่สามารถทานหรือดื่มได้ในพื้นที่ส่วนกลาง ที่พักไม่ได้มีชุดนอน ผ้าขนหนู แปรงสีฟัน ยาสีฟัน หรืออุปกรณ์การอาบน้ำให้ แต่หากไม่ได้เตรียมมาก็มีจำหน่ายเป็นชุด มีไดร์เป่าผมให้ใช้แต่ขอความกรุณางดใช้ในช่วงเวลาตั้งแต่เที่ยงคืนถึงเจ็ดโมงเช้า (เพราะจะเป็นการรบกวนผู้เข้าพักคนอื่นในช่วงเวลาพักผ่อน) การเชคเอ้าท์ต้องทำก่อน 11 โมงและจะต้องคืนผ้าปูเตียงจำนวน 2 ผืน มอบที่อุดหูให้ชุดนึง (เพราะห้องพักจะไม่ได้เก็บเสียงหรือป้องกันเสียงเข้าค่ะ) และสุดท้ายก็แจกพาสเวิร์ด Wifi ค่ะ

 

 

 

เครื่องดื่มทั้งหลายที่เรียงรายอยู่ด้านหลังนั้นเป็นส่วนของ Book and Bed and Bar ค่ะ

 

 

 

ตอนนี้เราได้คีย์การ์ดและทราบหมายเลขห้องของเราแล้ว ตื่นเต้นจัง

 

[Cynthia Pun]

อร๊ายยย >< กรี๊ดเบา ๆ ทีนึงให้กับความถูกใจที่พัก

 

 

 

ชอบบบบ

 

 

 

ครั้งแรกที่เจอ Book and Bed Tokyo ก็คือเมื่อช่วงประมาณต้นปีค่ะ จากในพื้นที่เล็ก ๆ ขนาดแค่ประมาณ 2 x 2 นิ้ว ในนิตยสารแจกฟรีสักหัวหนึ่งที่เราเองก็จำชื่อไม่ได้แล้ว ตอนนั้นคิดว่าน่าสนใจจัง ถ้ามีโอกาสไปญี่ปุ่นก็อยากจะเข้าพัก แล้ววันนึงหลังจากที่มีตั๋วเครื่องบินในมือแล้วและกำลังเลือกที่พักอยู่นั้น ชื่อที่พักนี้และรูปที่เหมือนในความทรงจำก็โผล่ขึ้นมาในเว็บไซต์รวมที่กำลังค้นหาที่พักอยู่ นาทีนั้น Book and Bed Tokyo ขึ้นมาอยู่เป็นอันดับ 1 ในลิสต์ของเราทันที ตอนแรกกะว่าจะมาพัก 1 คืน หมายไว้ว่าจะเป็นคืนแรกเลยที่มาถึงโตเกียว แต่เนื่องจากเวลาเชคอินและเชคเอ้าท์ของที่พักในญี่ปุ่นก็ดูไม่ค่อยสอดคล้องกับแพลนการเที่ยวของเรา สรุปแล้วก็เลยจองพักที่นี่ 3 คืนค่ะ! ไม่ขนกระเป๋าย้ายไปไหนเลยตลอดทริป

 

[Cynthia Pun]

ไม่เข้าใจตัวเลขมากมายบนคีย์การด์นะคะ แต่เลข 2 ตัวหน้าคือ 45 ตรงกับเลขห้องพักของเรา คีย์การ์ดที่ถืออยู่นี่ก็ไม่ได้ใช้ติ๊ดเข้าห้องส่วนตัวนะคะ ใช้ติ๊ดเพื่อผ่านเข้าสู่พื้นที่ของโฮสเทลได้ทั้งที่ชั้น 7 และ 8 แต่ถ้าหายก็ต้องชดใช้ 200 เยนค่ะ

 

 

 

มาดูห้องนอนของเราดีกว่าาา

 

ทางเข้าห้องเป็นช่องเล็ก ๆ ให้มุดเข้าไป และถ้าใครอยู่ตู้ชั้นสูงก็ต้องปีนบันไดขึ้นก่อนแล้วมุดเข้าค่ะ ฮ่า ฮ่า จะมีม่านทึบให้เลื่อนเปิด-ปิดเท่านั้น ไม่ได้มีกุญแจล็อกแน่นหนา ส่วนสัมภาระหรือกระเป๋าเดินทางสามารถเก็บไว้ในช่องเก็บของด้านล่างตู้ค่ะ

 

[Cynthia Pun]

มุดเข้ามาในห้องพักแล้วววว

 

ตู้นอนกระทัดรัดจริง ๆ ความกว้างประมาณเกือบวา ส่วนความยาวนั้น คนที่ส่วนสูง 190 เซนติเมตรก็นอนได้นะ และเพดานห้องก็ไม่ได้ต่ำมาก คนสูง ๆ ก็นั่งได้ค่ะ (เดา)

 

ทางด้านหัว

 

 

 

และทางด้านเท้า มีชั้นวางของและตู้เซฟให้เก็บของสำคัญ

 

 

 

เรื่องการเข้า-ออกห้องนี่แม้อยู่นาน 3 คืนก็ลืมสังเกตุว่าคนอื่น ๆ เค้าเข้า-ออกกันยังไง แต่ที่แน่ ๆ เราสนุกกับการลองเปลี่ยนวิธีเข้าและออกไปเรื่อย ๆ แล้วก็ขำตัวเองตลอดเลย แรก ๆ ก็ดึงเอาทักษะวิชาพละตอนประถมที่เรียนเรื่องการม้วนหน้าม้วนหลังมาใช้ แล้วก็เปลี่ยนไปพุ่งหลาวเข้าบ้าง บางทีก็ยิมนาสติกเหยียดขาเข้าไปก่อน บางทีก็ปีนเข้าอย่างกับลิง และบางทีก็หัวโขก!

[Cynthia Pun]

ที่นี่เป็นเหมือนดอร์มรวมชาย - หญิงค่ะ ห้องน้ำและห้องสุขาก็จะเป็นแบบรวม แต่ก็จะมี 1 ห้องติดป้าย Women ไว้

 

 

 

ฝั่งตรงข้ามอ่างล่างหน้าเป็นห้องอาบน้ำเรียงอยู่ 3 ห้อง เมื่อเปิดเข้าไปโซนแรกเป็นพื้นที่แห้งเอาไว้แต่งตัว ถัดเข้าไปจึงจะเป็นห้องอาบน้ำจริง ๆ

 

[Cynthia Pun]

ส่วนห้องสุขาก็จะอยู่อีกแนวหนึ่ง มี 4 ห้อง มีทั้งห้องรวม ห้องหญิง ห้องชาย และห้องสต๊าฟ

 

 

 

 

[Cynthia Pun]

ชักโครกก็เป็นเทคโนโลยีญี่ปุ่นค่ะ และต้องชื่นชมว่าห้องอาบน้ำและห้องสุขาที่นี่สะอาดอยู่ตลอดเลย เห็นสต๊าฟหมั่นเข้าไปอยู่ดูเป็นระยะ ๆ และที่ญี่ปุ่นการพับฝาชักโครกปิดไว้แบบนี้แปลว่าสะอาดนะคะ

 

 

[Cynthia Pun]

อาบน้ำสบายตัวแล้วก็เดินสำรวจหนังสือ

 

หนังสือส่วนมากประมาณ 85 เปอร์เซ็นต์เป็นภาษาญี่ปุ่นค่ะ มีภาษาอังกฤษอยู่เพียงแค่เล็กน้อย แต่บางเล่มถึงแม้จะเป็นภาษาญี่ปุ่นแต่เปิดดูภาพไปก็เพลินดี แล้วก็ยังเจอหนังสือบางเล่มที่เขียนไว้ว่าเป็นของผู้เข้าพักมอบให้แก่ Book and Bed Tokyo ด้วย เราเองก็คิดว่าหนังสือที่ถือมานั้นเป็นคู่มือเที่ยวภูมิภาคคันโตที่เป็นภาษาไทย อยากจะฝากเอาไว้ให้คนไทยที่มาพักต่อไปได้อ่าน แต่นึกแล้วเรายังต้องใช้วางแผนทริปหน้าก็เลยยังคงเก็บเป็นสมบัติส่วนตัวไว้ก่อนค่ะ แหะ ๆ (มีความหวงอยู่หน่อย ๆ)

 

 

 

 

อ๊ะ แต่หนังสือบนนี้ไม่ได้มีไว้ให้หยิบอ่านนะคะ มีไว้ตกแต่ง ฮ่า ๆ

 

[Cynthia Pun]

เลือกหนังสือแล้วก็เลือกมุมเอนกายอ่าน

 

พื้นที่ส่วนรวมตรงนี้ดูอบอุ่นและสบายมาก ๆ นั่งอ่านไปสต๊าฟก็จะนำผ้าห่มมาให้ห่มกันหนาว แต่พอช่วงดึก ๆ ก็จะปิดดนตรีแจ๊สที่เปิดกล่อมมาตลอดและเริ่มหรี่ไฟลง แต่หากมีคนนั่งอ่านหนังสืออยู่ สต๊าฟก็จะนำโคมไฟมาวางให้ค่ะ

 

 

 

[Cynthia Pun]

วิวมุมสูงจากชั้น 8 ก็จะประมาณนี้ค่ะ

 

 

[Cynthia Pun]

มอง Ikebukuro ยามดึก

 

 

 

[Cynthia Pun]

ใครซื้ออาหารมาตุนไว้แล้วหิวขึ้นมาดึก ๆ ก็มีไมโครเวฟให้ใช้ มีชาและกาแฟ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ก็มี

 

 

 

[Cynthia Pun]

กลับหลังหันมาด้านตรงข้าม แอบมีของจำหน่ายเล็ก ๆ น้อย ๆ ด้วย

 

 

 

 

[Cynthia Pun]

เดินเล่นชั้น 7

เริ่มแรก Book and Bed Tokyo ให้บริการที่ชั้น 7 ชั้นเดียวค่ะ แต่เมื่อมีผู้สนใจเข้าพักมากขึ้นก็ขยายขึ้นสู่ชั้น 8 แล้วก็ขยายสาขาไปสู่ย่าน Asakusa และไกลไปจนถึงที่เกียวโต และฟูกุโอกะก็มีสาขา แว่วว่าฤดูใบไม้ผลิปี 2018 สาขาใหม่ที่ Shinjuku ก็จะเปิดบริการด้วย

ดังนั้นที่ชั้นนี้ก็เลยจะหน้าต่างและตาแมว เพราะเมื่อก่อน Front คือตรงนี้ ก่อนที่จะย้ายไปชั้น 8

[Cynthia Pun]

ตู้นอนของชั้นนี้ก็เป็นชั้นหนังสือเหมือนกัน

 

 

 

[Cynthia Pun]