63 replies to this topic

[Cynthia Pun]

Advertisements

ไฟล์ทในฝัน! บิน 787-9 ดรีมไลเนอร์ กับ All Nippon Airways ขากลับ โตเกียว-กรุงเทพฯ

 

สวัสดีค่ะ

 

กลับมาพบกันอย่างรวดเร็วหลังจากที่ช่วงก่อนหน้านี้ได้เข้ามาแชร์เรื่องราวการเดินทางสู่โตเกียวให้ได้ชมไปแล้ว วันนี้ก็จะมาต่อกันที่เที่ยวบินขากลับสู่กรุงเทพฯ ซึ่งยังคงเป็นประสบการณ์เดินทางกับ All Nippon Airways เหมือนในตอนขาไป แต่เพื่อเติมเต็มประสบการณ์ในทริปโตเกียวครั้งแรกของตัวเรา ในไฟล์ทขาไปเลือกลงที่สนามบินฮาเนดะ ได้เดินเล่น เที่ยวชมบรรยากาศบ้างแล้ว ขากลับจึงได้เลือกขึ้นเครื่องที่สนามบินนาริตะค่ะ

 

*รีวิวฉบับก่อนหน้าคือ "บิน All Nippon Airways จากกรุงเทพฯ สู่โตเกียว แล้วไปนั่งชมเครื่องบินที่ HND" ติดตามชมได้ที่ http://www.hflight.n...topic/17700-ana

 

ขอเกริ่นก่อนว่าทริปของเรานี้เป็นทริปสั้น ๆ ประมาณ 4 วัน เมื่อ 6-9 ธันวาคม 2560 ที่ผ่านมา ซึ่งในช่วงเย็นวันที่ 9 ธันวาคมก็คือวันเดินทางกลับจากโตเกียวสู่กรุงเทพฯ ดังนั้นในช่วงเช้าจึงมีเวลาเล็กน้อยสำหรับการเที่ยวง่าย ๆ ในสถานที่ใกล้ ๆ ซึ่งได้ลิสต์ไว้เป็น "ศาลเจ้าเมจิ" แห่งนี้ค่ะ

 

[Cynthia Pun]

ในตอนแรกนั้น การเดินทางจากที่พักของเราซึ่งอยู่ในย่าน Ikebukuro มายังศาลเจ้าเมจิ เป็นการเดินทางกับรถไฟใต้ดิน ซึ่งเราได้ซื้อตั๋วเดินทางแบบไม่จำกัดเที่ยวภายใน 72 ชั่วโมงเอาไว้ตั้งแต่ลงเครื่องที่สนามบินฮาเนดะ แต่เมื่อมาถึงสถานี Meiji-jingumae (Harajuku) สถานีจุดหมายปลายทางสำหรับการมาศาลเจ้าเมจิก็หมดเวลาที่กำหนดในตั๋วพอดี ดังนั้นหลังจากเที่ยวชมศาลเจ้าเสร็จ การเดินทางไปยังสถานี Ueno จุดที่จะต่อรถไฟไปสนามบินริตะนั้นจึงเป็นโอกาสอันดีที่เราจะได้ลองใช้บริการรถไฟ JR สาย Yamanote สายหลักของโตเกียวดูบ้าง (หลังจากที่เดินทางด้วยรถไฟใต้ดินมาเกือบตลอดทริปแล้ว) อีกทั้งยังสะดวกสบายกว่าด้วยเนื่องจากหากเป็นรถไฟใต้ดินจากจุดนี้ไปสู่ Ueno จะต้องเปลี่ยนสายรถไฟ 1 ครั้ง พร้อมกับหอบหิ้วสัมภาระมากมาย แต่หากเดินทางด้วยรถไฟ JR สาย Yamanote นั้นไม่ต้องเปลี่ยน ในขณะที่ค่าเดินทางต่างกันเพียงประมาณ 10-20 เยนเท่านั้น

 

และนี่ก็คือสถานีรถไฟ JR Harajuku ค่ะ (ห่างจากสถานี Meiji-jingumae (Harajuku) นิ๊ดเดียว) ตัวสถานียังคงเป็นไม้แบบดั้งเดิม และในช่วงเวลานั้นก็เป็นช่วงที่ต้นแป๊ะก๊วยริมทางผลัดเปลี่ยนสีของใบจากสีเขียวเป็นสีเหลืองอยู่พอดี

 

 

 

[Cynthia Pun]

เราซื้อตั๋วการเดินทางเที่ยวเดียวจากสถานี Harajuku สู่สถานี Ueno ด้วยเครื่องจำหน่ายตั๋วอัตโนมัติ ซึ่งตอนแรกมีความคิดว่าคงจะใช้ยาก อาจจะมีความงง แต่ความจริงนั้นต้องขอเทียบให้ฟังว่าหากคุ้นเคยกับการใช้ตู้อัตโนมัติในการซื้อตั๋วรถไฟ Airport Rail link ของบ้านเราอยู่แล้ว ตู้นี้ก็คล้าย ๆ กันค่ะ เพียงแค่ต้องเลือกเปลี่ยนจากภาษาญี่ปุ่นเป็นภาษาอังกฤษก่อนในขั้นแรก

 

 

[Cynthia Pun]

สำหรับการเดินทางด้วยรถไฟ JR สาย Yamanote นั้นคนที่เคยเดินทางไปโตเกียวแล้ว หรือแม้แต่กำลังเตรียมแผนการเที่ยวอยู่ คงคุ้นเคยกับชื่อนี้และทราบดีว่าเส้นทางของรถไฟสายนี้จะวนเป็นลูป มีทั้งเส้นทางตามเข็มและทวนเข็มนาฬิกา แม้จะไม่ต้องกลัวหลงเพราะรถไฟจะวนไปทุกสถานีในเส้นทาง แต่หากขึ้นผิดฝั่งก็จะทำให้เสียเวลาไปโดยใช่เหตุได้เช่นกัน และนี่ก็เป็นครั้งแรกเลยค่ะที่เราเดินทางกับรถไฟ JR สายนี้ แต่เนื่องจากสถานี Ueno ที่เราจะไปนั้นเป็นสถานีใหญ่และเป็นสถานีหลัก จึงมีชื่ออยู่บนป้ายชานชาลา ช่วยทำให้มั่นใจได้เยอะเลย

 

 

 

รถไฟมาแล้ว ขบวนรถไฟของ JR จะมีความยาวกว่าเหล่ารถไฟใต้ดินทั้ง Toei และ Tokyo Metro อยู่มากทีเดียว

 

 

 

ขึ้นมาบนรถไฟแล้ว จอบอกเส้นทางบนรถไฟก็เป็นตัวช่วยที่ดีของนักท่องเที่ยวญี่ปุ่นมือใหม่แบบเรา

 

[Cynthia Pun]

อย่างที่บอกไปตอนแรกว่าเราจะเดินทางสู่สถานี Ueno แล้วจะต่อรถไฟไปสนามบินนาริตะจากสถานีนี้ ซึ่งที่เลือกมาทางนี้ก็เพราะใกล้สถานี Ueno มีตลาด Ameyoko และตึกม่วง Takeya จุดช็อปปิ้งนั่นเอง แต่เมื่อคำนวณแล้วว่ามีเวลาไม่พอสำหรับภารกิจนี้(ที่ตัดออกจากลิสต์ได้) จึงลงที่สถานี Nippori ก่อนถึงสถานี Ueno เล็กน้อย

 

 

 

ซึ่งสถานีนี้ก็สามารถต่อรถไฟไปสนามบินได้เช่นกัน

 

[Cynthia Pun]

สถานีนี้ก็มีป้ายบอกทางที่ชัดเจนค่ะ เดินตามป้ายมาไม่ไกลก็เจอจุดจำหน่ายตั๋วรถไฟ Keisei Electric Railway สู่สนามบินนาริตะ มีทั้งตู้อัตโนมัติ และเจ้าหน้าที่ขาย สามารถดูข้อมูลบนจอแสดงผลแล้วก็เลือกได้เลยค่ะว่าจะไปสายไหนจาก 3 สายของรถไฟ Keisei ซึ่งจะมีความต่างทั้งในเรื่องการจอดรายทางส่งผลต่อเวลารวมที่ใช้ในการเดินทาง และรุ่นของรถไฟแต่ละสายก็มีความสะดวกสบายต่างกัน อีกทั้งราคาก็ต่างกันด้วย

 

กรณีของเราจำเป็นต้องเลือกสาย Skyliner แล้วล่ะค่ะ เพราะต้องรีบไปถึงสนามบินมิฉะนั้นเดี๋ยวไม่มีเวลาเหลือให้ไปทำภารกิจในฝันที่สนามบินก่อนเดินทาง ซึ่ง Skyliner ที่เราเลือกนั้นจะเป็นรถไฟขบวนที่วิ่งตรงสู่สนามบินนาริตะโดยใช้เวลาน้อยที่สุด เพียงแค่ 40 นาทีเท่านั้น แต่ก็เป็นสายที่ราคาสูงที่สุดตามไปด้วย ราคาของการเดินทางด้วย Skyliner เที่ยวนี้อยู่ที่ 2,470 เยน ค่ะ

 

 

[Cynthia Pun]

และตอนนี้เราก็ถือตั๋วรถไฟอยู่ 2 ใบค่ะ คือตั๋วรถไฟ JR เพราะเรายังไม่ได้ออกจากสถานี และตั๋วรถไฟ Skyliner ที่เพิ่งซื้อมานั่นเอง ในขั้นตอนนี้จะต้องใช้ตั๋วทั้งสองใบสอดเข้าไปพร้อมกันขณะเดินผ่านทางกั้นเพื่อเข้าไปสู่สถานีรถไฟ Keisei ซึ่งเครื่องกั้นจะกลืนตั๋วรถไฟ JR เก็บไปโดยอัตโนมัติ คืนมาให้เฉพาะตั๋วรถไฟ Skyliner

 

 

[Cynthia Pun]

ขึ้นมาถึงสถานีที่ชานชาลา 1 เจอรถไฟขบวนนี้ ซึ่งเป็น Limited Express แล่นเข้ามา จอดรับผู้โดยสาร และออกจากสถานีเวลา 14.19 น. ตรงตามเวลาที่แสดงเลย

 

 

[Cynthia Pun]

ส่วนของเรานั้นจะเป็น Skyliner รอบเวลา 14.25 น. ยืนรอที่ชานชาลาตรงจุดขึ้นรถไฟตู้ที่ 4 ตามระบุในตั๋ว

 

 

[Cynthia Pun]

รถไฟมาแล้วค่ะ ตรงเวลาทีเดียว ลากกระเป๋าขึ้นมาบนรถไฟขบวนนี้จะมีที่สำหรับวางกระเป๋าเดินทางในทุกตู้ มีห้องน้ำบริการ และมีตู้กดน้ำด้วย

 

 

 

[Cynthia Pun]

ที่นั่งบน Skyliner จะเป็นที่นั่งแบบจองล่วงหน้า ซึ่งของเราจะเป็นที่นั่ง 02D ภายในตู้รถไฟขบวนที่ 4

 

 

 

 

โต๊ะหน้าที่นั่งสามารถกางออกมาเพื่อทานอาหารระหว่างเดินทางได้ และยังมีเขียนบอกให้ทราบด้วยว่ารับน้ำหนักได้ถึง 10 กิโลกรัม

 

[Cynthia Pun]

ลักษณะที่นั่ง และองศาที่ปรับเอนได้

 

 

 

 

ใต้ที่นั่งด้านหน้าจะมีปลั๊กอยู่ด้วย

 

[Cynthia Pun]

นั่งมาเพลิน ๆ ไม่นานก็เริ่มมีประกาศหลายภาษาเลยค่ะว่ารถไฟจะเข้าสู่สนามบินนาริตะที่อาคาร Terminal 2,3 และจะไปสิ้นสุดที่ Terminal 1 พร้อมกับหน้าจอในตู้รถไฟก็จะบอกรายชื่อสายการบินต่าง ๆ ที่ให้บริการในแต่ละ Terminal สำหรับผู้โดยสารระหว่างประเทศของ All Nippon Airways ต้องลงที่ Terminal 1 สุดสายปลายทางค่ะ

 

 

 

ภายนอกของรถไฟ Skyliner

 

 

[Cynthia Pun]

ออกจากสถานีรถไฟ มุ่งหน้าตรงไปสู่ International Departure ชั้น 4 และเลี้ยวไปทาง South Wing ซึ่งเป็นพื้นที่ของสายการบินในกลุ่ม Star Alliance

 

 

 

[Cynthia Pun]

เนื่องจากทำการเชคอินล่วงหน้ามาก่อนแล้ว จึงมาที่เคาน์เตอร์ Online Check-in เพื่อทำการ Bag Drop และปริ้นตั๋วโดยสาร

 

 

 

เที่ยวบินของเราคือ NH807 เดินทางจากโตเกียว ที่สนามบินนาริตะ สู่กรุงเทพฯ ที่สนามบินสุวรรณภูมิ ซึ่ง Boarding Time คือ 16.40 น.

 

[Cynthia Pun]

แม้มีเวลาไม่มาก แต่ก็ยังพอเหลือให้สำรวจสนามบินก่อนการเดินทางได้

 

 

 

 

เราจะเดินผ่านพื้นที่ Shopping & Dinning นี้เข้าไปเพื่อไปสู่ Observation Deck ของ Terminal 1 กันค่ะ

 

[Cynthia Pun]

ร้านค้ามากมายเลย ทั้งเสื้อผ้า กระเป๋า สินค้าที่ระลึก ร้านหนังสือ และเหล่าร้านอาหาร

 

 

[Cynthia Pun]

 

 

 

หรือต้องการไปจุดไหน แวะค้นหาในแผนที่ก่อนก็ได้ค่ะ

 

[Cynthia Pun]

ทางเราขึ้นมาที่ชั้น 5 มุ่งหน้าไป Observation Deck

 

 

 

อุ้ยย เจอโซนร้านค้าขายสินค้าถูกใจเข้าให้แล้ว

 

 

[Cynthia Pun]

ตู้กดไข่กาชาปองมากมายเชียว ตู้ถ่ายรูปก็มี